info@pattayamarketing.com

Pattaya, Chonburi, Thailand

Get a free AUDIT

Google Ads vs Facebook Ads: ธุรกิจพัทยาควรยิงแอดแพลตฟอร์มไหนถึงจะคุ้มที่สุด? 2025

With THE PATTAYA MARKETING

ยิงแอด พัทยา

ในฐานะเจ้าของ ธุรกิจพัทยา คุณรู้ดีว่าการแข่งขันนั้นดุเดือดแค่ไหน การทำให้ร้านค้าหรือบริการของคุณโดดเด่นขึ้นมาในสายตาของลูกค้าคือหัวใจสำคัญ และการทำ การตลาดออนไลน์ ผ่านการยิงโฆษณาคือหนึ่งในวิธีที่รวดเร็วที่สุด แต่คำถามสุดคลาสสิกที่ตามมาก็คือ “เรามีงบจำกัด ควรจะเอาเงินไปลงกับ Google Ads หรือ Facebook Ads ดี?”

แพลตฟอร์มไหนจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด? คำตอบคือ “แล้วแต่ประเภทธุรกิจและเป้าหมายของคุณ”

ไม่ต้องกังวลครับ! วันนี้ pattayamarketing.com จะมาเปรียบเทียบให้เห็นกันแบบหมัดต่อหมัด พร้อมยกตัวอย่างธุรกิจในพัทยาโดยเฉพาะ เพื่อให้คุณเข้าใจและตัดสินใจเลือกแพลตฟอร์มที่ใช่สำหรับ การตลาดออนไลน์พัทยา ของคุณได้อย่างมั่นใจ

เก็บเกี่ยว vs สร้างความต้องการ

เพื่อให้เห็นภาพง่ายที่สุด ให้ลองนึกภาพตามนี้:

  • Google Ads = การเก็บเกี่ยวความต้องการ (Demand Harvesting)
    • Google คือแพลตฟอร์มที่คนเข้าไป “เมื่อมีความต้องการอยู่แล้ว” พวกเขาตั้งใจเข้าไปค้นหาเพื่อแก้ปัญหาหรือซื้อบางสิ่งบางอย่าง
    • ตัวอย่างในพัทยา: นักท่องเที่ยวแอร์เสียกลางดึก เขาจะค้นหาว่า “ร้านซ่อมแอร์ พัทยา 24 ชั่วโมง” หรือ ครอบครัวที่อยากไปเกาะล้าน จะค้นหา “เรือสปีดโบ๊ทไปเกาะล้าน ราคา”
    • หน้าที่ของคุณ: คือการนำเสนอธุรกิจของคุณไปอยู่ตรงหน้าพวกเขาในวินาทีที่พวกเขากำลังมองหา
  • Facebook Ads = การสร้างความต้องการ (Demand Generation)
    • Facebook (และ Instagram) คือแพลตฟอร์มที่คนเข้าไปเพื่อ “พักผ่อน” ดูเรื่องราวของเพื่อน หรือเสพคอนเทนต์สนุกๆ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไรในตอนแรก
    • ตัวอย่างในพัทยา: คุณเปิดคาเฟ่แมวแห่งใหม่ใจกลางพัทยา คุณสามารถ ยิงแอด Facebook ที่เป็นวิดีโอน่ารักๆ ของน้องแมวไปให้คนที่อาศัยอยู่ในพัทยาและมีความสนใจใน “สัตว์เลี้ยง” หรือ “กาแฟ” เห็น พวกเขาอาจจะไม่เคยคิดจะไปคาเฟ่แมวมาก่อน แต่เมื่อเห็นโฆษณาของคุณ ความต้องการก็เกิดขึ้น
    • หน้าที่ของคุณ: คือการนำเสนอสิ่งที่น่าสนใจจนพวกเขายอมหยุดเลื่อนนิ้วดู และเปลี่ยนจากคนไถฟีดธรรมดาให้กลายมาเป็นลูกค้า

Google Ads vs Facebook Ads สำหรับธุรกิจพัทยา

คุณสมบัติGoogle AdsFacebook Ads
การทำงานแสดงโฆษณาต่อคนที่ “กำลังค้นหา”แสดงโฆษณาต่อคนที่ “มีแนวโน้มจะสนใจ”
จุดเด่นเข้าถึงคนที่มีความต้องการซื้อสูง (High Intent)กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดมาก (Demographics, Interests)
รูปแบบโฆษณาเน้นข้อความ (Text Ads), Shopping Adsเน้นภาพและวิดีโอ (Visuals), Carousel, Stories
เหมาะกับธุรกิจบริการเร่งด่วน, สินค้าเฉพาะทาง, ธุรกิจ B2Bร้านอาหาร, คาเฟ่, โรงแรม, แฟชั่น, คลินิก, สินค้าใหม่

ธุรกิจแบบไหนในพัทยา…ควรเลือกอะไร?

ทีนี้มาดูกันว่าธุรกิจของคุณควรเน้นแพลตฟอร์มไหนเป็นพิเศษ:

เลือก Google Ads เมื่อ…

1. ธุรกิจของคุณแก้ปัญหาเร่งด่วน: เช่น บริการรถยก, ช่างทำกุญแจ, ช่างแอร์, บริการกำจัดปลวก ลูกค้าเหล่านี้ต้องการวิธีแก้ปัญหา “ทันที” และพวกเขาจะตรงไปที่ Google

2. ลูกค้าของคุณรู้ว่าต้องการอะไร: เช่น บริการรถเช่าพร้อมคนขับ, คลินิกกายภาพบำบัด, ร้านขายอุปกรณ์ดำน้ำ พวกเขามีสินค้าหรือบริการในใจแล้วและกำลังเปรียบเทียบตัวเลือก

3. คุณต้องการจับลูกค้านักท่องเที่ยวที่กำลังวางแผน: การยิงแอดด้วยคีย์เวิร์ดอย่าง “Pattaya family hotel” หรือ “best seafood restaurant in Pattaya” จะเข้าถึงนักท่องเที่ยวในช่วงที่กำลังวางแผนทริปได้อย่างดีเยี่ยม

เลือก Facebook Ads เมื่อ…

1. ธุรกิจของคุณ “ขายภาพลักษณ์” และ “บรรยากาศ”: เช่น โรงแรมที่มีสระว่ายน้ำสวย, Rooftop Bar วิวพระอาทิตย์ตก, ร้านอาหารที่ตกแต่งมีสไตล์, คอลเลกชันเสื้อผ้าใหม่ล่าสุด ภาพและวิดีโอที่สวยงามจะดึงดูดสายตาได้ดีที่สุด

2. คุณต้องการเปิดตัวสินค้า/บริการใหม่: ไม่มีใครรู้จักคาเฟ่เปิดใหม่ของคุณ การใช้ Social media-Marketing บน Facebook เพื่อแนะนำร้านให้คนในพื้นที่รู้จักจึงเป็นสิ่งจำเป็น

3. คุณต้องการสร้างชุมชนและลูกค้าประจำ: คุณสามารถสร้างแบรนด์, พูดคุยกับลูกค้า, และทำโปรโมชันเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเก่ากลับมาใช้บริการซ้ำได้ดีกว่า

กลยุทธ์ที่ดีที่สุด: ใช้ทั้งคู่ทำงานร่วมกัน!

สำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ในพัทยา การใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกันคือกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุด ตัวอย่างเช่น:

  • โรงแรม: ใช้ Facebook Ads เพื่อโชว์ภาพสระว่ายน้ำและบรรยากาศสวยๆ สร้างการรับรู้และความอยากมาพัก จากนั้นใช้ Google Ads ดักจับคนที่ค้นหา “ที่พักพัทยาติดทะเล” เพื่อปิดการจอง

เจาะลึกการกำหนดเป้าหมาย (Targeting) สำหรับตลาดพัทยา

ความมหัศจรรย์ของการโฆษณาออนไลน์คือความสามารถในการเลือกแสดงโฆษณาให้ “คนที่ใช่” เห็น ซึ่งทั้งสองแพลตฟอร์มมีวิธีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

การกำหนดเป้าหมายของ Google Ads

Google เน้นที่ “เจตนา” หรือ “สิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหาในขณะนั้น” เครื่องมือหลักของคุณคือ คีย์เวิร์ด (Keywords)

  • ตัวอย่างคีย์เวิร์ดสำหรับธุรกิจพัทยา:
    • บริการ: “ร้านซักรีด พัทยากลาง”, “เช่ารถมอเตอร์ไซค์ พัทยาใต้”, “ทัวร์ดำน้ำเกาะล้าน”
    • ร้านอาหาร: “บุฟเฟ่ต์ซีฟู้ด พัทยา”, “ร้านอาหารวิวทะเล จอมเทียน”, “คาเฟ่เปิดใหม่ นาเกลือ”
    • โรงแรม: “ที่พักพัทยาสำหรับครอบครัว”, “โรงแรมพัทยามีสระว่ายน้ำส่วนตัว”, “pattaya hotel near walking street”

นอกจากคีย์เวิร์ดแล้ว คุณยังสามารถกำหนดเป้าหมายเชิงลึกได้อีก เช่น:

  • Location Targeting: เลือกแสดงโฆษณาเฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่พัทยา หรือแม้แต่เจาะจงรัศมี 5 กิโลเมตรรอบร้านของคุณ เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณไปกับคนที่ไม่ใช่ลูกค้า
  • Ad Scheduling: กำหนดเวลาแสดงโฆษณาได้ เช่น ร้านอาหารอาจจะเน้นโฆษณาหนักๆ ในช่วง 11:00-13:00 น. และ 17:00-20:00 น.

การกำหนดเป้าหมายของ Facebook Ads

Facebook เน้นที่ “ตัวตน” ของผู้ใช้ หรือ “พวกเขาคือใครและสนใจอะไร” ซึ่งเป็นเครื่องมือ Social media-Marketing ที่ทรงพลังมาก

  • Demographics (ข้อมูลประชากร): คุณสามารถเลือก เพศ, อายุ, ภาษาที่ใช้ ซึ่งสำคัญมากในการแยกกลุ่มลูกค้าระหว่างคนไทย, ชาวต่างชาติที่อาศัยในพัทยา (Expat), หรือนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ
  • Location Targeting (ที่ตั้ง): นี่คือไม้เด็ดสำหรับธุรกิจพัทยา คุณสามารถเลือกได้ละเอียดกว่าแค่ “คนที่อยู่ในพัทยา” เช่น:
    • “คนที่อาศัยอยู่ในตำแหน่งนี้”: เหมาะสำหรับโปรโมตธุรกิจที่ต้องการลูกค้าประจำ เช่น ฟิตเนส, คลินิก, ร้านอาหารสำหรับคนท้องถิ่น
    • “คนที่เดินทางมาในตำแหน่งนี้”: สุดยอดเครื่องมือสำหรับธุรกิจท่องเที่ยว! คุณสามารถยิงแอดหา “นักท่องเที่ยว” ที่เพิ่ง Check-in เข้ามาในพัทยาได้ทันที
  • Interests (ความสนใจ): คุณสามารถเจาะจงความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้ เช่น “คนที่สนใจการดำน้ำ”, “คนที่ชอบอาหารอิตาเลียน”, “คนที่สนใจ Nightlife”, หรือ “คนที่กำลังจะแต่งงาน” เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตรงจุด
  • Custom Audiences (กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง): สำหรับขั้นสูง คุณสามารถอัปโหลดรายชื่อลูกค้าเก่าเพื่อยิงแอดหาพวกเขาโดยตรง (เช่น เสนอส่วนลดให้กลับมาพักอีกครั้ง) หรือสร้างกลุ่มเป้าหมายจากคนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ

เริ่มต้นด้วยงบเท่าไหร่? และคาดหวังอะไรได้บ้าง

คำถามเรื่องงบประมาณเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับ SME ไม่มีตัวเลขที่ตายตัว แต่เราสามารถให้แนวทางได้

หัวใจสำคัญคือการมองว่ามันคือ “การลงทุน” ไม่ใช่ “ค่าใช้จ่าย”

  • การทำงานของงบประมาณ: ทั้งสองแพลตฟอร์มทำงานในลักษณะการ “ประมูล” (Bidding) หากมีธุรกิจจำนวนมากต้องการลงโฆษณาให้คนกลุ่มเดียวกันเห็น หรือใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน ราคาต่อการแสดงผลหรือต่อคลิกก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
  • จุดเริ่มต้นที่เหมาะสม: สำหรับธุรกิจขนาดเล็กในพัทยา การเริ่มต้นด้วยงบประมาณวันละ 150 – 300 บาทต่อแพลตฟอร์ม ถือเป็นจุดที่ดีในการ “ทดสอบตลาด” เพื่อดูว่าโฆษณาแบบไหนทำงานได้ดีที่สุด เมื่อเจอแนวทางที่ใช่และเริ่มเห็นผลตอบรับที่ดี คุณจึงค่อยๆ เพิ่มงบประมาณเพื่อขยายผล
  • คาดหวังอะไรในช่วงแรก?: ในเดือนแรกของการทำ การตลาด เป้าหมายหลักอาจไม่ใช่ยอดขายที่พุ่งทะยานในทันที แต่เป็นการรวบรวม “ข้อมูล” คุณจะเริ่มเห็นว่าคนกลุ่มไหนสนใจโฆษณาของคุณ, คอนเทนต์แบบไหนมีคนชอบเยอะ, และคีย์เวิร์ดไหนที่นำคนเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณได้จริง ข้อมูลเหล่านี้คือขุมทรัพย์ที่จะทำให้การลงโฆษณาในเดือนถัดๆ ไปแม่นยำและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

วัดผลความสำเร็จ: รู้ได้อย่างไรว่าแอด “ปัง” หรือ “พัง”?

การยิงแอดแล้วจบไปโดยไม่วัดผล ก็เหมือนการขับรถโดยปิดตา สิ่งสำคัญคือการดู “ตัวชี้วัด (Metrics)” ที่ถูกต้อง เพื่อให้แน่ใจว่าเงินทุกบาทของคุณกำลังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

หยุดวัดผลแค่ยอดไลก์! ยอดไลก์เยอะไม่ได้แปลว่ายอดขายจะเยอะตามเสมอไป นี่คือตัวชี้วัดที่สำคัญกว่า:

ตัวชี้วัดหลักสำหรับ Google Ads

  1. Conversion: การกระทำที่สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้น เช่น การโทรศัพท์, การกรอกฟอร์มติดต่อ, หรือการแอด LINE OA นี่คือตัวชี้วัดความสำเร็จที่แท้จริง
  2. Cost Per Conversion (ต้นทุนต่อ 1 คอนเวอร์ชัน): คุณจ่ายเงินไปเท่าไหร่เพื่อให้ได้มาซึ่งการโทร 1 ครั้ง หรือลูกค้า 1 คน? ตัวเลขนี้บอกความคุ้มค่าได้ดีที่สุด
  3. Click-Through Rate (CTR): อัตราส่วนของคนที่เห็นโฆษณาแล้ว “คลิก” เข้ามา บ่งบอกว่าข้อความโฆษณาของคุณน่าสนใจแค่ไหน

ตัวชี้วัดหลักสำหรับ Facebook Ads

  1. Cost Per Result (ต้นทุนต่อ 1 ผลลัพธ์): Facebook จะให้คุณเลือก “ผลลัพธ์” ที่ต้องการ เช่น การส่งข้อความ (Messages), การมีส่วนร่วม (Engagement), หรือการรับชมวิดีโอ (Video Views) ตัวเลขนี้บอกว่าคุณจ่ายเงินไปเท่าไหร่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์นั้นๆ
  2. Leads (จำนวนลูกค้าเป้าหมาย): หากคุณใช้แคมเปญ Lead Generation ตัวเลขนี้คือจำนวนคนที่กรอกข้อมูลติดต่อเข้ามาให้คุณ
  3. Return on Ad Spend (ROAS): สำหรับธุรกิจที่ขายของออนไลน์ได้โดยตรง ตัวเลขนี้คือที่สุดของความคุ้มค่า มันจะบอกว่า “ทุกๆ 1 บาทที่จ่ายค่าแอดไป คุณได้ยอดขายกลับมากี่บาท”

การวิเคราะห์และตีความตัวเลขเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอคือหน้าที่หลักของ เอเจนซี่การตลาดออนไลน์ มืออาชีพ เพื่อปรับกลยุทธ์ให้แคมเปญของคุณสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้สูงสุด

ไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่าแพลตฟอร์มไหน “ดีกว่า” แต่มีคำตอบว่าแพลตฟอร์มไหน “เหมาะสมกว่า” สำหรับเป้าหมายทาง การตลาด ของคุณในขณะนั้น การเข้าใจธรรมชาติของแต่ละแพลตฟอร์มและพฤติกรรมของลูกค้า คือกุญแจสำคัญในการใช้งบ โฆษณาออนไลน์ พัทยา ของคุณให้คุ้มค่าที่สุด

การวางกลยุทธ์โฆษณาที่ซับซ้อนและวัดผลได้จริงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ หากคุณไม่แน่ใจว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร หรือต้องการมืออาชีพมาช่วยดูแลแคมเปญของคุณ

pattayamarketing.com พร้อมให้คำปรึกษา

เราพร้อมวิเคราะห์ธุรกิจและเป้าหมายของคุณ เพื่อออกแบบกลยุทธ์การยิงโฆษณาที่ผสมผสานทั้ง Google Ads และ Facebook Ads อย่างลงตัว เพื่อให้คุณได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงสุด

ติดต่อเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาด้านการวางกลยุทธ์โฆษณาออนไลน์สำหรับธุรกิจของคุณ ฟรี!

[คลิกที่นี่เพื่อนัดเวลาปรึกษา] หรือโทร [096-325-6557]

Photo of author

yanarsaathchocksuriyakiad

Leave a Comment