
ในการทำ การตลาดออนไลน์ เรามักจะได้ยินคำว่า ROI และ ROAS อยู่เสมอ หลายคนอาจสับสนหรือคิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองตัวเลขนี้บอกข้อมูลคนละด้าน และมีความสำคัญต่อธุรกิจของคุณแตกต่างกัน
การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณประเมินความสำเร็จของแคมเปญโฆษณาและภาพรวมของธุรกิจได้เฉียบคมยิ่งขึ้น วันนี้ pattayamarketing.com
จะมาสรุปให้เข้าใจง่ายๆ แบบตรงประเด็น
ROAS (Return on Ad Spend) – วัดประสิทธิภาพ “แคมเปญโฆษณา”
- ROAS คืออะไร?ROAS คือ ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา มันเป็นตัวชี้วัดที่บอกว่า ทุกๆ 1 บาทที่คุณจ่ายค่าโฆษณาไปบนแพลตฟอร์มอย่าง Google ads หรือ Facebook ads นั้น คุณได้ “ยอดขาย” กลับมาเท่าไหร่
- สูตรคำนวณ:ROAS = ยอดขายทั้งหมดจากโฆษณา / ค่าโฆษณาที่จ่ายไป
- ใช้วัดอะไร?ใช้วัด “ความแรง” หรือ “ประสิทธิภาพ” ของแคมเปญโฆษณาแคมเปญนั้นๆ โดยเฉพาะ มันตอบคำถามว่า “แอดตัวนี้ทำงานดีไหม?”
ROI (Return on Investment) – วัด “กำไร” ของการลงทุนโดยรวม
- ROI คืออะไร?ROI คือ ผลตอบแทนจากการลงทุน มันเป็นตัวชี้วัดภาพใหญ่ที่บอกว่า หลังจากหัก “ต้นทุนทั้งหมด” แล้ว ธุรกิจของคุณได้ “กำไรสุทธิ” กลับมาเท่าไหร่
- สูตรคำนวณ:ROI = (กำไรสุทธิ / ต้นทุนการลงทุนทั้งหมด) x 100
- ใช้วัดอะไร?ใช้วัด “ความสามารถในการทำกำไร” ของโปรเจกต์หรือการ การตลาด ทั้งหมด มันตอบคำถามว่า “แคมเปญนี้ทำแล้วได้กำไรจริงหรือไม่?”
- สิ่งที่ต่างจาก ROAS: ROI จะนำต้นทุนอื่นๆ เข้ามาคำนวณด้วย ไม่ใช่แค่ค่าโฆษณา เช่น ต้นทุนสินค้า/บริการ, ค่าจ้างพนักงาน, ค่าแพ็คเกจจิ้ง, ค่าบริการเอเจนซี่ เป็นต้น
Case Study จริง: คำนวณ ROAS และ ROI จากเคสของ L’OCCITANE
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราจะนำตัวเลขจาก Case Study จริงของแบรนด์ L’OCCITANE (ประเทศแคนาดา) ที่ทาง Meta (Facebook) เผยแพร่ มาใช้เป็นฐานในการคำนวณกันครับ
ข้อมูลจริงจาก Case Study:
- ธุรกิจ: L’OCCITANE แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
- เป้าหมาย: ดึงดูดลูกค้าให้ไปซื้อสินค้าที่ “หน้าร้าน”
- ผลลัพธ์จริง: แคมเปญ Social media-Marketing ของพวกเขาสามารถสร้าง ROAS ได้ 3.4 เท่า จากยอดขายหน้าร้าน
- แหล่งอ้างอิง (เข้าถึงได้ ณ วันที่ 26/7/2025): L’OCCITANE Canada Case Study – Meta for Business
ทีนี้ เรามาลองคำนวณ ROI จากตัวเลขจริงนี้กันต่อ โดยใช้ตัวอย่างสมมติเพื่อให้เห็นภาพครับ
สมมติว่า L’OCCITANE ลงทุนค่าโฆษณาไป 100,000 บาท
- คำนวณยอดขาย (จาก ROAS จริง):100,000 (ค่าโฆษณา) x 3.4 (ROAS) = 340,000 บาท(นี่คือ “ยอดขาย” ที่แคมเปญสร้างได้)
ทีนี้มาดูฝั่ง “ต้นทุนทั้งหมด” กันบ้าง
สมมติว่าต้นทุนของสินค้า (Cost of Goods Sold) ที่ขายไปทั้งหมดนั้นอยู่ที่ 40% ของยอดขาย
- คำนวณต้นทุนทั้งหมด:
- ค่าโฆษณา: 100,000 บาท
- ต้นทุนสินค้า:
340,000 x 40% = 136,000 บาท
- ต้นทุนการลงทุนทั้งหมด = 100,000 + 136,000 = 236,000 บาท
- คำนวณ ROI:
- หากำไรสุทธิ:
340,000 (ยอดขาย) - 236,000 (ต้นทุนทั้งหมด) = 104,000 บาท
- คำนวณ ROI:
(104,000 / 236,000) x 100 = 44%
- หากำไรสุทธิ:
จากเคสนี้จะเห็นได้ว่า แม้ ROAS จะดูเหมือนไม่สูงมากนัก (3.4 เท่า) แต่เมื่อหักต้นทุนสินค้าแล้ว ธุรกิจยังคงทำ “กำไร” ได้จริง (ROI 44%) นี่คือพลังของการมองภาพรวมทั้งหมด
บทสรุป
สำหรับเจ้าของ ธุรกิจพัทยา การเข้าใจทั้งสองตัวชี้วัดเป็นสิ่งจำเป็น:
- ใช้ ROAS เพื่อประเมินและปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาแต่ละตัว
- ใช้ ROI เพื่อตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในภาพรวมว่าการลงทุนด้าน การตลาดออนไลน์พัทยา นั้น สร้างการเติบโตและผลกำไรที่แท้จริงให้กับธุรกิจของคุณหรือไม่
การวางแผนการตลาดที่วัดผลได้ทั้ง ROAS และ ROI คือหัวใจของการเติบโตอย่างยั่งยืน หากคุณต้องการพาร์ทเนอร์ที่ช่วยคุณวางกลยุทธ์และวัดผลความสำเร็จได้อย่างโปร่งใส
pattayamarketing.com
พร้อมให้คำปรึกษา
เราพร้อมช่วยคุณวางแผนแคมเปญที่ไม่ได้สร้างแค่ยอดขาย แต่สร้างกำไรที่แท้จริงให้ธุรกิจคุณ
ติดต่อเราวันนี้เพื่อพูดคุยถึงแผนการตลาดที่เน้นผลตอบแทนสูงสุด!
[คลิกที่นี่เพื่อนัดเวลาปรึกษา] หรือโทร [096-325-6557]